สาระประมวล
ความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาและให้เข้าใจถึงประวัติความเป็นมาของวิวัฒนาการทางทหาร
และสงครามทางเรือในยุคต่างๆ
ขอบเขตการศึกษา บรรยายถึง
๑. ความหมายและจุดมุ่งหมายของสงครามทางเรือ
๒. วิวัฒนาการ และสงครามทางเรือในอดีตยุคเรือกรรเชียง
๓. วิวัฒนาการ
และสงครามทางเรือยุคเรือใบ
๔. วิวัฒนาการ
และสงครามทางเรือยุคเรือกลไฟ
๕. วิวัฒนาการ
และสงครามทางเรือในสงครามโลกครั้งที่ ๑
๖. วิวัฒนาการ
และสงครามทางเรือในสงครามโลกครั้งที่ ๒
๗. วิวัฒนาการ
และสงครามทางเรือภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จนถึงปัจจุบัน
สาระคู่มือ
๑. ความสำคัญ
ในการทำสงครามนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
มนุษย์ได้พยายามหาวิธีการทำให้ฝ่ายตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เหนือฝ่ายตรงข้ามและต้องการเป็นฝ่ายชนะในการทำสงคราม การศึกษาในหัวข้อวิชานี้จะมุ่งเน้นให้นายทหาร
นักเรียนได้มองเห็นภาพของวิวัฒนาการของสงครามทางเรือ
นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
อันเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในแต่ละยุคสมัยจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวย่อมมีผลกระทบต่อรูปแบบของสงครามในยุคสมัยนั้นๆ
การศึกษาถึงวิวัฒนาการและการสงครามทางเรือในอดีตจะทำให้ทราบความเป็นมาและเป็นพื้นฐานในการศึกษาและเป็นพื้นฐานในการศึกษาการสงครามทางเรือในปัจจุบัน
๒. ความมุ่งหมาย
เพื่อให้ทราบถึงวิวัฒนาการและสงครามทางเรือ
นับตั้งแต่ กำเนิดของสงครามทางเรือจนถึงปัจจุบัน
อันจะเป็นพื้นฐานการศึกษาของการปฏิบัติการทางเรือ
นอกจากนั้นยังทำให้เกิดแนวความคิดในการใช้กำลังทางเรือ
ตลอดจนหลักการของการปฏิบัติการทางเรือ
๓. สาระสังเขปการศึกษา
ในการทำสงครามทางเรือนั้น
ยุทธนาวีซึ่งเป็นที่รู้จักกันครั้งแรกในประวัติศาสตร์ คือ การยุทธที่ซาลามิส (Salamis) ระหว่างกรีกกับเปอร์เซีย
ในราว ๔๘๐ ปี ก่อนคริสตกาล ในห้วงเวลานั้น
มนุษย์คงจะให้ความสำคัญกับเรือรบซึ่งยังเป็นเรือกรรเชียงไม่มากไปกว่าการเป็นพาหนะนำทหารราบไปกับเรือ
ดำเนินยุทธวิธีด้วยการนำเรือเข้าชนเรือฝ่ายตรงข้ามให้เสียหาย
ต่อมามีผู้คิดค้นประดิษฐ์ไฟกรี๊ก
ซึ่งเป็นส่วนผสมของกำมะถัน ชัน ดินดำ กรด ดินประสิวและน้ำมันปิโตรเลียมต้มปนกัน
จึงเกิดความเหนียวและเมื่อยิงหรือขว้างไปแล้วจับติดเนื้อไม้และติดเป็นไฟขึ้นเมื่อถูกอากาศ
วิธีการดับไฟต้องใช้น้ำหรือทรายในการดับไฟ
จากนั้นได้มีการนำปืนใหญ่มาติดตั้งบนเรือและระบบอาวุธได้ถูกพัฒนาก้าวหน้าเรื่อยมา
จนถึงปัจจุบันนี้การทำลายเรือฝ่ายตรงข้ามไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยสายตาอีกต่อไป
ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาการด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์
ได้ทำให้ระบบการค้นหา ตรวจจับ พิสูจน์ฝ่าย กับความก้าวหน้าในการออกแบบระบบอำนวยการยุทธ เมื่อใช้ร่วมกับอาวุธนำวิถีซึ่งมีระยะยิงพ้นขอบฟ้า
ทำให้การตัดสินใจใช้กำลังกระทำได้ตั้งแต่ระยะไกล
ระบบนี้ได้กลายมาเป็นขีดความสามารถหลักในการทำสงครามผิวน้ำของกองเรือ
ในอีกมิติหนึ่งของการทำสงครามทางเรือนั้น
เทคโนโลยีที่สำคัญในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่มีอิทธิพลสำคัญต่อสงครามทางเรือ ได้แก่
เรือดำน้ำ ซึ่งเยอรมันได้นำมาใช้ในการรังควานเส้นทางคมนาคมที่จะเข้าสู่เกาะอังกฤษ
และทุ่นระเบิดที่ใช้ในการปิดช่องทางเข้า - ออกท่าเรือ เพื่อตัดรอนเศรษฐกิจและศักดิ์สงครามของฝ่ายตรงข้าม
และ เครื่องบิน ทำให้สงครามโลกครั้งที่ ๑ เป็นสงครามที่รบกันทั้งสามมิติ
เป็นผลให้มีการคิดค้นพัฒนาประดิษฐ์เครื่องมือ
อุปกรณ์หรืออาวุธที่ใช้ต่อต้านภัยทั้งสามมิตินี้
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่
๒ เป็นยุคที่วิทยาการต่างๆ มีความก้าวหน้าขึ้นมาก เรือรบมีสมรรถนะสูงขึ้น
ขนาดของสงครามกับความต้องการลำเลียงกำลังพล
ส่งผลให้มีการต่อเรือยกพลขึ้นบกโดยเฉพาะ
เป็นการขยายความสามารถในการรบและเสริมกำลังให้กับ Expeditionary Force ตามแนวคิดเดิม ปืนใหญ่เรือยุคนี้ยิงได้แม่นยำมาก
(ดูการรบระหว่าง MS Bismarck กับ HMS Hood) ระบบตรวจจับต่างๆ
มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
บทบาทของเรือดำน้ำแม้จะไม่อาจแสดงผลในการรบแตกหักแต่สามารถนำหลักการสงคราม Fleet-in-Being มาสู่การปฏิบัติได้ผล
แนวความคิดในการทำสงครามทางทะเลของยุคนี้ก้าวกระโดดไปอย่างเด่นชัด
จากเดิมที่มีการใช้เรือรบหลัก ๓ ประเภท คือ เรือประจัญบาน
เรือลาดตระเวนและเรือพิฆาต ไปสู่การใช้เรือบรรทุกเครื่องบิน
มีการใช้เครื่องบินทะเลลาดตระเวนและโจมตี
มีการใช้กองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีที่หมายบนฝั่ง (ดูการยุทธ์ที่เพิร์ล ฮาเบอร์) มีการต่อสู่กันระหว่างกองเรือด้วยเครื่องบินจากระยะพ้นขอบฟ้า
(ดู The Battle of Midway
และ The Battle of Coral Sea) การค้นหาและไล่ล่าเรือด้วยเครื่องบิน (ดู The Chasing of Bismarck) ได้มีการพัฒนากิจการสงครามขึ้นมาใหม่ คือ
การยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ซึ่งมีความซับซ้อนและต้องการความร่วมมือและการประสานสอดคล้องของกำลังรบทุกมิติอย่างดีเยี่ยมจึงจะประสบผลสำเร็จ
หาไม่แล้วจะเป็นการล้มเหลวที่นำไปสู่การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
โลกอยู่ในยุคสงครามเย็นอย่างเด่นชัดหลังจบสงครามโลกครั้งที่
๒ ตั้งแต่ ค.ศ.๑๙๔๕ จนถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
การพัฒนากองทัพเรือเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองภาวการณ์เผชิญหน้ากันระหว่างโลกคอมมิวนิสต์กับโลกเสรี
ช่วงระยะเวลานี้มีการแข่งขันกันทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการทหารอย่างมาก
กำลังทางเรือถูกออกแบบให้รบได้สามมิติ ได้แก่ การต่อสู้เรือผิวน้ำ
การป้องกันภัยทางอากาศและการปราบเรือดำน้ำ และยังถูกออกแบบให้มีความอยู่รอดสูงขึ้น
โดยการแบ่งส่วนต่างๆ ในเรือเพื่อผนึกน้ำและพัฒนาระบบเป้าลวง
พัฒนาเครื่องยนต์ให้มีสมรรถนะสูงขึ้น
พลังงานนิวเคลียร์ถูกพัฒนามาใช้เป็นต้นกำลังขับของเรือรบและเรือดำน้ำขนาดใหญ่
ทำให้เรือเหล่านั้นอยู่ในทะเลได้นานมากขึ้น อาวุธมีพิสัยทำการไกลพ้นขอบฟ้าและสามารถนำวิถีเข้าสู่เป้าหมายได้เอง
แนวความคิดในการทำสงครามทางทะเลในยุคนี้บางส่วนย้อนกลับไปหาแนวคิดในอดีต คือ
การใช้เรือเล็กเข้าต่อต้านเรือใหญ่ในพื้นที่ได้เปรียบหรือจู่โจมด้วยอำนาจการยิงที่เพียงพอเพื่อทำลายเรือขนาดใหญ่
(ดู สงครามยิว - อาหรับ) ได้สร้างกระแสความนิยมเรือเร็วโจมตีแบบต่างๆ
ขึ้นอีกครั้งหลังจากเรือตอร์ปิโดเคยได้รับความนิยมมาแล้วในยุคเรือกลไฟช่วงต้น
ในขณะที่กองทัพมหาอำนาจใช้เรือใหญ่และเครื่องบินทางทะเลเป็นกำลังหลักและมีการสนธิขีดความสามารถของกำลังทางเรือเข้ากับกำลังจากเหล่าทัพอื่นในรูปแบบของการปฏิบัติการร่วม
ยุคหลังสงครามเย็น
เมื่อภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์ลดลง
ภัยคุกคามจากองค์กรที่ไม่ใช่รัฐเริ่มถูกพิจารณาอย่างเอาจริงเอาจังมากขึ้น (ดู กรณี
๙๑๑) การต่อสู้ระหว่างดินแดนหรือชนเผ่าภายในรัฐรุนแรงขึ้น ประเทศต่างๆ
ต้องปรับแนวความคิดในการพัฒนากำลังรบทางทะเลใหม่
ในขณะที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ช่วยพัฒนาการออกแบบ
วัสดุและเทคนิคในการต่อเรือให้สามารถซ่อนพรางตัวเองจากสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและลดคลื่นความร้อนจากตัวเรือได้
ส่งผลให้ถูกตรวจจับได้ยาก ระบบอาวุธถูกปรับปรุงให้มีพิสัยทำการนับร้อยไมล์ทะเล
มีความแม่นยำมากทั้งการโจมตีเป้าหมายในทะเลและเป้าหมายบนบก ในอีกด้านหนึ่ง
แนวโน้มการค้าเสรีและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีช่วยให้ประเทศต่างๆ
มีโอกาสสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยจากการค้าและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในทะเลทั้งมีและไม่มีชีวิต
การพัฒนากำลังทางเรือเป็นไปเพื่อให้สามารถรักษาผลประโยชน์ได้ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
การพัฒนากองทัพเรืออาจกล่าวได้ว่าพัฒนาขึ้นตามแนวความคิด 3 - S (Smart, Stand-off & Stealthy) ส่วนแนวคิดการใช้กำลังทางทะเลมุ่งไปที่ความปลอดภัยและความมั่นคงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทางทะเล
โดยให้ความสำคัญต่อการควบคุมทะเลและการรักษาเส้นทางคมนาคม
มีทั้งการให้ความช่วยเหลือ
การรักษากฎหมายและการใช้กำลังทางเรือต่อสู้เพื่อบีบบังคับ
ประเทศมหาอำนาจใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีช่วยเหลือให้เกิดการรวมพลังอำนาจทางทหารและพลังอำนาจอื่นเข้าด้วยกันทั้งกำลังทางบก
ทางเรือ ทางอากาศ อวกาศและพลเรือน
๔. วิธีดำเนินการศึกษา
๔.๑
บรรยายในห้องเรียน ๓ ชั่วโมง
๔.๒ แบ่งกลุ่มอภิปราย ๓ ชั่วโมง
๔.๓ แถลงผลการสัมมนา ๓ ชั่วโมง
๕. ประเด็นคำถามสำคัญเกี่ยวกับเนื้อหาที่ศึกษา
๖. เอกสารประกอบการศึกษา
๖.๑ อุฬาร มงคลนาวิน พล.ร.ท.,
วิวัฒนาการ
คุณลักษณะและขีดความสามารถกำลังรบทางเรือ, ๒๕๓๖
๖.๒ ชะโอษฐ์ พัฒนฤกษ์สิน,
น.อ., วิวัฒนาการของสงครามทางเรือ ประเภทของเรือรบ
เครื่องบิน, ๒๕๓๐
๖.๓ Richard Hill, Medium
Power Strategy Revisited, Sea power Center: Working Paper No.3, March 2000
๖.๔ Stanfield Turner, VADM USN, Mission of the U.S.Navy, Naval War College Review, March 1974
http://www.nwc.navy.mil/press/review/1998/winter/art10w98.htm
๗. เอกสารอ่านประกอบเพิ่มเติม