สาระประมวล
ความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาและให้เข้าใจถึงยุทธวิธีของเรือดำน้ำและการปราบเรือดำน้ำ
ขอบเขตการศึกษา บรรยายถึง
๑. คุณลักษณะ ประเภท
ขีดความสามารถ ข้อจำกัด ยุทธวิธีและการปฏิบัติของเรือดำน้ำโดยสังเขป
๒. แนวความคิดทั่วไปในการปราบเรือดำน้ำ
๓. วิวัฒนาการของอาวุธปราบเรือดำน้ำและการปราบเรือดำน้ำ
๔. ขีดความสามารถและข้อจำกัดในการปราบเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทย
๕. หลักการทำงานของโซนาร์
๖. ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการทำสงครามใต้น้ำ
๗. มาตรการป้องกันภัยจากทุ่นระเบิด
สาระคู่มือ
๑. ความสำคัญ
สงครามใต้น้ำเป็นที่มาของภัยคุกคามที่น่าเกรงขาม
อำนาจการทำลายของอาวุธใต้น้ำมักส่งผลเด็ดขาดต่อความอยู่รอดของเป้าหมาย
อาวุธใต้น้ำเป็นได้ทั้งอาวุธทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธี
การค้นหาและต่อต้านใช้เวลานาน โดยทั่วไปเริ่มก่อนการปฏิบัติการหลักแต่จบลงทีหลัง
ดังนั้น จึงเป็นภัยคุกคามต่อกำลังทางเรือและต่อเศรษฐกิจของชาติ
๒. ความมุ่งหมาย
เพื่อให้ นทน.
มีความเข้าใจพื้นฐานสำหรับการร่วมหาข้อตกลงใจในการปฏิบัติการใต้น้ำและมีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการวิเคราะห์การสงครามใต้น้ำ
๓. สาระสังเขปการศึกษา
ประเทศไทยพึ่งพาการลำเลียงขนส่งทางทะเลเป็นหลักในการค้าขายกับต่างประเทศ
บทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตอกย้ำให้ต้องตระหนักว่า
สงครามใต้น้ำเป็นการสร้างภัยคุกคามที่มีประสิทธิภาพมากต่อความอยู่รอดของประเทศ
สงครามใต้น้ำเป็นการทำสงครามกับสิ่งที่มองไม่เห็น
เป็นของใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ เป็นต้นมา
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ผ่านไป การสงครามใต้น้ำถูกพัฒนาให้มีสมรรถนะสูงขึ้นเช่นเดียวกับสงครามผิวน้ำ
คุณลักษณะ 4 - S (Stealth,
Strike, Speed and Stand off) ได้ถูกพัฒนาให้มีความก้าวหน้าอย่างมาก
เสียงใต้น้ำเข้ามามีบทบาทต่อการปฏิบัติการทางเรือทางด้านสงครามใต้น้ำ
อาจแบ่งออกเป็นการปฏิบัติการ ๓ สาขา ได้แก่ ปฏิบัติการเรือดำน้ำ
ปฏิบัติการปราบเรือดำน้ำ และสงครามทุ่นระเบิด โดยเฉพาะในระหว่างสงครามโลกครั้งที่
๑ เมื่อเยอรมันได้นำสงครามเรือดำน้ำมาใช้อย่างได้ผล
สามารถจมเรือฝ่ายตรงข้ามและชาติเป็นกลางได้กว่า ๑๑ ล้านตัน จนทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องพยายามพัฒนาวิธีปราบเรือดำน้ำให้ได้โดยเร็วที่สุด
จนได้พบว่าการดักฟังเสียงใต้น้ำที่เกิดจากเครื่องยนต์และใบจักร
เป็นวิธีการเดียวที่สามารถค้นหาเรือดำน้ำได้ผลเพียงพอใจขณะนั้น
ได้มีการนำเอาวิธีการของลีโอนาโด เดอ วินชี่ ที่เขียนไว้ในปี ๑๔๙๐ ว่า ถ้าท่านหยุดเรือของท่านแล้วหย่อนท่อลงไปในน้ำ
ท่านจะได้ยินเสียงเรือลำอื่นที่อยู่ห่างไกลจากเรือท่าน
มาพัฒนาเป็นเครื่องดักฟังเสียงแบบ Passive ที่เรียกว่า ไฮโดรโฟน
แล้วนำมาติดตามลำตัวเรือใต้แนวน้ำ
ในระยะแรกได้ผลน้อยมากเนื่องจากอุปกรณ์มีความไวต่ำกับเสียงรบกวนมากจนทำให้แยกเป้าไม่ออก
ต่อมาได้มีการพัฒนาเป็น Array ๑๒ ตัว ลากท้ายเรือ
และใช้การแบริ่งไขว้จากเรือหลายลำที่ออกปฏิบัติการเป็นหมู่
ทำให้สามารถจับและกำหนดตำแหน่งเรือดำน้ำได้
ต่อมาในตอนปลายสงครามโลกได้มีการพัฒนาโซนาร์แบบ Active เป็นผลสำเร็จ
ในสงครามโลกครั้งที่
๒ ความรู้เกี่ยวกับสงครามใต้น้ำรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว กองทัพเรือสหรัฐฯ
พัฒนาเครื่องมือค้นหาและอาวุธปราบเรือดำน้ำได้อย่างมีปะสิทธิภาพมากขึ้น เช่น Active Homing Torpedo, Acoustic mines และการกวาดทุ่นระเบิดด้วยเสียง หลังสงครามได้มีการนำข้อมูลต่างๆ
มาพัฒนาใช้ประโยชน์จากเสียงใต้น้ำได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เช่น
โซนาร์สามารถจับเป้าได้ไกลกว่าและเลือกทิศได้ทั้งแกนตั้งและแกนนอน สำหรับโซนาร์แบบ
Passive Array ก็ยังได้รับการพัฒนาต่อเนื่องโดยใช้ความถี่ต่ำลง
เพื่อจับเป้าหมายเรือดำน้ำในระดับลึก นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาเครื่องมือในการตรวจวัดการแพร่คลื่นเสียงในทะเลเพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์เป้าและติดตั้งเครื่องมือในการตรวจจับเรือดำน้ำตามพื้นที่ยุทธศาสตร์
เรียกว่า SOSUS (Sound
Surveillance System)
สำหรับในอ่าวไทย สหรัฐได้เข้ามาทำการสำรวจทางสมุทรศาสตร์ภายใต้โครงการ NAGA ในปี ๒๕๐๓ - ๐๗
เป็นการสำรวจทางสมุทรศาสตร์สมบูรณ์ทุกสาขา ทั้งในด้านอ่าวไทยและทะเลจีนใต้
ส่วนการสำรวจทางด้านการทหารนั้นดำเนินการเมื่อปี ๒๕๑๐ ภายใต้โครงการ VAMP SURVEY ซึ่งเป็นโครงการเกี่ยวกับสงครามทุ่นระเบิดโดยเฉพาะ นอกจากสหรัฐฯ
จะมีข้อมูลทางสมุทรศาสตร์ของอ่าวไทยที่สมบูรณ์จากการสำรวจตามโครงการทั้งสองแล้ว
ยังมีการเก็บรวบรวมข้อมูลตามโอกาสในระหว่างการฝึกร่วม/ผสมกับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ
ในภูมิภาค สำหรับรัสเซียได้พยายามเข้ามาสำรวจในอ่าวไทยแต่ไม่ได้รับอนุญาต
อย่างไรก็ตาม รัสเซียได้พยายามเข้ามาเก็บข้อมูลด้วยเรือสำรวจ และในปี ๒๕๒๘
เรือประมงเก็บทุ่นใช้ในงานสำรวจทางทะเลได้ที่จังหวัดระนอง
ซึ่งภายหลังพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นทุ่นสำหรับตรวจและเก็บข้อมูลทางสมุทรศาสตร์ของรัสเซีย
แสดงว่ารัสเซียมีความพยายามเก็บข้อมูลสมุทรศาสตร์ในมหาสมุทรอินเดียด้วย
จะเห็นได้ว่าจวบจนถึงยุคปัจจุบัน
การสงครามใต้น้ำทุกสาขายังคงอาศัย สื่อ ชนิดเดียวกัน คือ เสียงใต้น้ำ
เป็นหลักในการค้นหา
การบรรลุข้อตกลงใจในการทำสงครามใต้น้ำในทุกสาขานั้นต้องอาศัยข้อมูลสองส่วน คือ
ข้อมูลพื้นฐานทางสมุทรศาสตร์ที่ได้จากการเก็บรวบรวมตามโครงการสำรวจมาประกอบกับความแม่นยำในการวิเคราะห์
ตีความและวินิจฉัยข้อมูลเสียงใต้น้ำที่ได้ในขณะปฏิบัติการจากเครื่องมือที่มี (Sonar)
พร้อมกับอาศัยความชำนาญของผู้ปฏิบัติ (Operator) ทั้งนี้
การได้ข้อมูลเสียงนั้นกระทำได้ทั้งแบบ Passive และ Active ด้วย Sonar ที่มีย่านความถี่ต่างๆ
นอกจากจะใช้คลื่นเสียงเป็นหลักแล้ว
ปัจจุบันได้มีการพัฒนา ลำแสงเลเซอร์ (Laser Beam)
ขึ้นมาใช้ประโยชน์ในการทำสงครามใต้น้ำ เพียงแต่อยู่ในวงจำกัดและมีราคาแพง
จึงมีเพียงบางประเทศที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีสามารถใช้ได้ เช่น
ประเทศออสเตรเลียพัฒนาเครื่องตรวจวัดความลึกและค้นหาใต้น้ำด้วยลำแสงเลเซอร์สำหรับติดตั้งบนอากาศยาน
สามารถวัดความลึก
ระบุสภาพท้องทะเลและค้นหาวัตถุใต้น้ำได้ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางในเวลาน้อย
แต่มีข้อจำกัดว่าสำหรับบางพื้นที่
เนื่องจากความขุ่นใสของน้ำเป็นตัวแปรสำคัญต่อการสูญเสียพลังงานของลำแสง
กล่าวโดยสรุป
แนวคิดพื้นฐานของการสงครามใต้น้ำ คือ รักษาความเงียบ (Stealth) เพื่อใช้อำนาจการทำลาย (Strike) ในขณะที่มี ความเร็ว (Speed) กับระยะยิง (Stand off) เป็นตัวแปรในเรื่องความอยู่รอด มีสิ่งที่แตกต่างไปคือ
ในการทำสงครามทุ่นระเบิดนั้น ระยะยิง (Stand off)
เป็นเรื่องที่แยกจากตัวอาวุธไปอยู่ที่พาหะ (Carrier)
๔. วิธีดำเนินการศึกษา
๔.๑ บรรยายในห้องเรียน ๓ ชั่วโมง
๕. ประเด็นคำถามสำคัญเกี่ยวกับเนื้อหาที่ศึกษา
๕.๑
เสียงใต้น้ำมีความสำคัญต่อการทำสงครามอย่างไร
๕.๒ หลักการทำงานของโซนาร์แบบต่างๆ
เป็นอย่างไร
๕.๓ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการทำสงครามใต้น้ำมีอะไรบ้าง
๕.๔
เรือดำน้ำค้นหาและพิสูจน์ทราบเป้าหมายได้อย่างไร
๕.๕ จุดอ่อนที่สำคัญของเรือดำน้ำคืออะไร
๕.๖
ทุ่นระเบิดมีความสำคัญต่อการทำสงครามทางเรืออย่างไรและมีปัจจัยพิจารณาในการใช้อย่างไร
๕.๗ มาตรการป้องกันจากทุ่นระเบิดมีอะไรบ้าง
มีแนวทางเลือกใช้อย่างไร
๖. เอกสารประกอบการศึกษา
๖.๑ ฝวก.
เสียงใต้น้ำกับการประยุกต์ใช้ในการทำสงครามทางเรือ, ๒๕๔๔
๖.๒ สรส. เอกสารอ้างอิงประกอบการบรรยาย
การสงครามปราบเรือดำน้ำ
๖.๓ อะดุง พันธุ์เอี่ยม, น.ท.,
หลักการปราบเรือดำน้ำ
๖.๔ กทบ.กร., การปฏิบัติการทุ่นระเบิด, ๒๕๔๔
๖.๕ กทบ.กร., การต่อต้านทุ่นระเบิด, ๒๕๔๔
๗. เอกสารอ่านประกอบเพิ่มเติม